วงการแพทย์ใช้ฟิลเลอร์ในการฉีดเพื่อปรับรูปหน้า และยกกระชับใบหน้ามานานหลายปี แต่สิ่งหนึ่งที่คนไข้ และแพทยทั่วไปยังรู้สึกไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด คือ ฟิลเลอร์มีอายุของมัน เช่น อาจอยู่ได้คร่าวๆ 1 ปี และอาจไม่ได้แก้ไขได้ตรงจุด เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ฉีดในปัจจุบัน แพทย์จะฉีดในชั้นไขมันหรือลึกสุดคือวางแค่บนกระดูกเท่านั้น แต่การที่เราใช้ฟิลเลอร์เพื่อฉีดเข้าสู่ใบหน้านั้น เพื่อหวังทดแทนการเสื่อมของกระดูก การที่วางลึกสุดแค่บนกระดูกไม่สามารถแก้ไขส่วนที่ต้องการ คือ การชดเชยและการป้องกันการเสื่อมของกระดูกได้ แต่ตอนนี้เทคนิคใหม่ล่าสุดได้ถูกคิดค้นและพัฒนา เพื่อตอบปัญหาดังกล่าว โดยผู้คิดค้นและพัฒนา คือ นพ.รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ แพทย์เฉพาะทางผิวหนัง และวิทยากรสอนแพทย์เรื่องการฉีดโบธ็อกและฟิลเลอร์ในระดับนานาชาติ ได้คิด้นการฉีดฟิลเลอร์ฝังลงไปใต้เยื่อหุ้มกระดูก โดยใช้เข็มทู่ (Blunt Cannula-Injected Subperiosteal Lifting)
การที่ใบหน้าเราแก่ชราและหย่อนคล้อยลงทุกๆ วันนั้น สาเหตุสำคัญเป็นเพราะกระดูกใบหน้าเราเสื่อม และทรุดตัวลงทำให้ไม่มีตัวพยุงยึด ผลก็คือ ใบหน้าตก หย่อนคล้อยและเหี่ยวลง ดังอาการที่เราเห็นได้ในหลายๆ ส่วนของใบหน้า
ไล่มาตั้งแต่ช่วงบนลงล่าง ใบหน้าช่วงหน้าผาก หน้าผากบุ๋ม เป็นรอยคาด กล้ามเนื้อและผิว ตกหย่อนลง ขมับทรุดตอบลง ดูแล้วทำให้หน้าดูแก่ลง และกระดูกโหนกเด่นขึ้นบริเวณรอบดวงตา เห็นรอยขอบกระดูกเบ้าตาชัดขึ้น เกิดร่องใต้ตาและถุงใต้ตาก็จะชัดมาก และหย่อนมากยิ่งขึ้น บริเวณโหนกแก้มใต้ตา จะเห็นเป็นรอยคาดจากแนวหัวตา ลงสู่ช่วงแก้มมาทางด้านข้าง ใบหน้าตกหย่อนลง ร่องแก้มดูลึกขึ้น ช่วงล่างของใบหน้าหย่อนคล้อย แก้มหอยลง ขอบกรอบใบหน้าไม่ชัด คางสั้นและพับลง และกาหย่อนคล้อยของใบหน้าทั้งหมดนี้ ยังส่งผลให้เนื้อใต้คางห้อยลง กลายเป็นคาง 2 ชั้นอีกด้วย
ปัจจุบันที่ทำการรักษาทั่วๆ ไปด้วยฟิลเลอร์ที่ทำกันอยู่ คือ การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ชั้นไขมันใต้ชั้นกล้ามเนื้อ หรือที่ลึกสุดที่ทำกัน คือ การฉีดฟิลเลอร์ในชั้นไขมันใต้กล้ามเนื้อในชั้นที่ค่อนข้างใกล้กระดูกโหนกแก้ม หรือที่ให้เข้าใจได้ง่ายๆ สำหรับประชาชนทั่วไป คือ วางบนกระดูก หรือติดกระดูก แต่แท้ที่จริงเป็นการฉีดที่ชั้นไขมันใต้กล้ามเนื้อที่ใกล้กระดูก ซึ่งได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่ฟิลเลอร์อยู่ได้ไม่นาน อาจอยู่ได้ไม่ถึงปีหรืออย่างมากอาจอยู่ได้ปีกว่าๆ และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ก็จะเปลืองมาก เพราะฟิลเลอร์ในชั้นไขมันจะกระจายไปจุดอื่น ไม่อยู่ตรงจุดที่เราต้องการโดยตรงนัก หรือพูดอีกในหนึ่ง ฟิลเลอร์ที่ฉีดอาจไม่อยู่คงตัวนัก และเป็นไปได้ว่า ถ้าฉีดแบบนี้บางครั้งฟิลเลอร์อาจเคลื่อนไปจุดที่เราไม่ต้องการได้ง่าย ทำให้เกิดผลข้างเคียง
การฉีดฟิลเลอร์ฝังใต้กระดูกมีการศึกษาในญี่ปุ่น โดยการฉีดด้วยเข็มคม พบว่าทำให้ผลของฟิลเลอร์อยู่ได้นานและอาจถึง 10 ปี โดยแม้ตัวฟิลเลอร์จะสลายไปตามกาลเวลาแล้ว แต่การฉีดฟิลเลอร์ใช้เข็มคมลงชั้นใต้เยื่อหุ้มกระดูกนี้ จะส่งผลให้เกิดการสร้างสเต็มเซลล์ ผลที่ได้รับคือ ผลของสเต็มเซลล์จะเข้าไปแทนที่ฟิลเลอร์ที่สลายไป ทำให้ประสิทธิภาพในการยกกระชับจะยังคงอยู่ แต่การทดลองนี้เป็นการใช้เข็มคม ซึ่งข้อเสียของเข็มคม คือ เข็มคมไม่สามารถจะฝังเข้าไปแทนที่กระดูกได้จริงตลอดทั้งลำ แต่จะทดแทนกระดูกได้เป็นหย่อมๆ ซึ่งก็จะไม่สามารถตอบโจทย์ได้จริงแท้ทั้งหมด และยังอาจก่อให้เกิดอาการบวมช้ำ และมีความเสี่ยงต่ออันตรายที่อาจทำให้เจาะทะลุไปเข้าเส้นเลือดได้
การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปฝังใต้เยื่อหุ้มกระดูกชนิดนี้ คิดค้นขึ้นมาด้วยแนวคิดที่ว่า ปกติผิวหน้าเราหย่อนคล้อยเกิดจากความเสื่อมของกระดูกใบหน้า การเสื่อมนี้ที่สำคัญที่สุดคือ การเสื่อมของกระดูกเบ้าตา กระดูกใต้ตา และกระดูกโหนกแก้ม ผลที่เกิดจากการเสื่อมของกระดูกนี้ คือ ทำให้ใบหน้าตกลงยากที่จะแก้ไข ดังนั้น ถ้าเราสามารถใส่ฟิลเลอร์เข้าไปในชั้นกระดูกเลยจริงๆ (ไม่ใช่แค่เพียงฉีดชนกระดูกหรือวางบนกระดูก) ก้จะสามารถชดเชยส่วนเนื้อกระดูกที่หดสลายไปได้อย่างแท้จริงที่สุด นพ.รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ จึงคิดหาวิธีและพบว่า การใส่ฟิลเลอร์เข้าใต้เยื่อหุ้มกระดูกนั้น สามารถที่จะทำได้ และการที่จะวางหัตลอดแนวลำที่ต่อเนื่องกัน วิธีการและอุปกรณ์ที่สามารถทำได้ คือ การใช้เข็มทู่ฉีดเข้าไปวางใต้เยื่อหุ้มกระดูกเป็นแนวตลอดลำ ผลที่ได้คือ ใบหน้าจะยกขึ้นได้ผลดีกว่า วิธีที่ทำกันอยู่ปัจจุบันอย่างมากมายหลายเท่า ในปริมาณฟิลเลอร์ที่เท่ากัน และไม่เพียงเท่านั้น ยังพบว่าใบหน้าจะยกได้ดีที่สุดที่แท้จะฉีดฟิลเลอร์ในเทคนิคปกติในปริมาณมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถจะยกได้ดีเท่าที่เทคนิคใหม่นี้ทำได้
ผลดีที่ได้รับจากเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์แบบใหม่นี้
• ยกหน้าได้ดีมากที่สุดกว่าเทคนิคปกติ หรือเทคนิคอื่นๆ รวมทั้งดีกว่าเทคนิคฉีดฟิลเลอร์ชนกระดูก หรืออยู่เหนือกระดูกมาก
• ใช้ปราณฟิลเลอร์น้อยกว่า จึงประหยัดปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดด้วยเทคนิคอื่นๆ
• ทำให้ฟิลเลอร์ และผลดีที่ได้รับอยู่ได้นานที่สุด ซึ่งอาจอยู่ได้นานถึงอย่างน้อย 2• 10 ปี ปกติการฉีดฟิลเลอร์ที่ยิ่งลึกจะยิ่งอยู่ไม่นาน เพราะจะโดนขบวนการย่อยสลายได้มากกว่าการฉีดชั้นตื้น การที่ฉีดที่ชั้นไขมันใต้กล้ามเนื้อหรือฉีดวางฟิลเลอร์บนกระดูก จึงอยู่ไม่นานมาก แต่การฉีดฟิลเลอร์เทคนิคใหม่นี้ จะหลบฝังลงใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก จะสามารถซ่อมจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระและเอนไซม์ที่ย่อยสลาย จึงทำให้อยู่ได้นาน
• การที่ฝังฟิลเลอร์เข้าไปในใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก นอกจากจะอยู่ได้นานแล้ว ยังมีการศึกษาพบว่ามันสามารถกระตุ้น Stem Cells ผลที่ได้รับคือ เกิดการสร้างเซลล์กระดูกและเยื่อหุ้มกระดูกใหม่ ทำให้ได้รับผลที่ใกล้เคียงการสร้างกระดูกแบบถาวร ซึ่งแม้ฟิลเลอร์จะย่อยสลายไปแล้ว ผลที่ดีในการยกกระชับหน้า จะยังคงอยู่ได้ต่อไปอีกนาน
• สามารถชดเชยกระดูกที่หายไปได้จริงๆ ผลที่ได้รับจึงดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
• สามารถป้องกันการเสื่อมของกระดูก และป้องกันการเสื่อมและหย่อนคล้อยของผิวหน้าในอนาคต
• ปลอดภัยมาก เพราะการที่ฝังไปในใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูก จะเป็นชั้นที่ไม่มีเส้นเลือดและยังมีชั้นเยื่อหุ้มกระดูกป้องกัน ให้ฟิลเลอร์ซ่อนอยู่ จึงไม่มีโอกาสเข้าเส้นเลือด ถ้าแพทย์มีประสบการณ์และรู้จักวิธีฉีดให้อยู่ในชั้นนี้
ฟังว่าฝังใต้เยื่อหุ้มกระดูก บางคนอาจดูแล้วคิดว่าน่าเป็นเรื่องใหญ่และเจ็บ แต่จริงๆ แล้ว ความรู้สึกไม่ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ในเทคนิคอื่นๆ หรือไม่ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ชั้นอื่นๆ เลย คือ รู้สึกน้อยมาก และไม่เสียเวลาในการฉีดอะไรมากมาย และไม่ต้องพักฟื้น และแทบไม่มีร่องรอยหลังจากการทำการรักษาเลย
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการยกกระชับหน้า ปรับรูปหน้า ลดริ้วรอย และแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้า แต่การฉีดให้ได้ผลดีและปลอดภัยจะต้องขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ รวมทั้งเทคนิคในการฉีดและแพทย์ที่จะทำการฉีด การฉีดที่ได้แพทย์ที่เก่งมีความสามารถ และเทคนิคที่ดี จึงจะส่งผลได้ดีที่สุด ผู้ที่ต้องการรักษาหน้าให้ได้ผลดี รวมทั้งยังทำให้ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์กว่าเดิมยิ่งๆ ขึ้นในอนาคต การฉีดฟิลเลอร์ฝังใต้เยื่อหุ้มกระดูกด้วยเข็มทู่ เป็นเทคนิคที่ดีมาก อยู่ได้ยาวนาน และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
นพ.รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์
แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง